ความรุ่งเรืองของ "จักรวรรดิบริติชที่สอง" (1783–1815) ของ จักรวรรดิบริติช

การสำรวจแปซิฟิก

การเดินเรือแห่งการค้นพบโดยเจมส์ คุก ในมหาสมุทรแปซิฟิกนำไปสู่การก่อตั้งอาณานิคมสหราชอาณาจักรหลายแห่งรวมไปถึงออสเรเลียและนิวซีแลนด์

นับแต่ ค.ศ. 1718 การขนส่งไปอาณานิคมอเมริกาเป็นการลงโทษสำหรับอาชญากรรมหลายอย่างในบริเตน โดยนักโทษประมาณ 1,000 คนถูกขนส่งข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกต่อปี[78] หลังการเสียสิบสามอาณานิคมใน ค.ศ. 1783 รัฐบาลบริติชถูกบีบให้หาที่ใหม่ และหันไปดินแดนออสเตรเลียซึ่งเพิ่งค้นพบ[79] ชาวยุโรปเคยสำรวจชายฝั่งตะวันตกของออสเตรเลียแล้ว โดยนักสำรวจชาวดัตช์ วิลเล็ม เจนซ์ ใน ค.ศ. 1606 และภายหลังบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์เปลี่ยนชื่อเป็นนิวฮอลแลนด์[80] แต่ไม่มีความพยายามยึดเป็นอาณานิคม ใน ค.ศ. 1770 เจมส์ คุกค้นพบชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียระหว่างการเดินเรือเที่ยววิทยาศาสตร์ไปมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ เขาอ้างสิทธิ์ทวีปเป็นของบริเตน และตั้งชื่อว่านิวเซาท์เวลส์[81] ใน ค.ศ. 1778 โจเซฟ แบงส์ นักพฤกษศาสตร์ซึ่งเดินทางไปกับคุก นำเสนอหลักฐานต่อรัฐบาลถึงความเหมาะสมของอ่าวโบตานีในการตั้งทัณฑนิคม และใน ค.ศ. 1787 เรือขนนักโทษเที่ยวแรกก็ออกเดินทาง โดยมาถึงใน ค.ศ. 1788[82] บริเตนดยังส่งนักโทษมายังนิวเซาท์เวลส์เรื่อยมาจน ค.ศ. 1840[83] อาณานิคมออสเตรเลียกลายเป็นผู้ส่งออกขนสัตว์และทองคำซึ่งมีรายได้มหาศาล[84] หลัก ๆ เพราะการตื่นทองในอาณานิคมวิกตอเรียทำให้เมืองหลวงเมลเบิร์นเป็นเมืองที่รวยที่สุดในโลก[85] และนครใหญ่สุดในจักรวรรดิบริติชรองจากกรุงลอนดอน[86]

ระหว่างการเดินทางของเขา คุกยังเดินทางไปนิวซีแลนด์ ซึ่งนักสำรวจชาวดัตช์ แอเบล แทสมัน ค้นพบครั้งแรกใน ค.ศ. 1642 และอ้างสิทธิ์ทั้งเกาะเหนือและเกาะใต้ให้เป็นของพระมหากษัตริย์บริติชใน ค.ศ. 1769 และ ค.ศ. 1770 ตามลำดับ เดิมทีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชากรชนพื้นเมืองมาวรีและชาวยุโรปจำกัดอยู่เพียงการค้าสินค้าเท่านั้น นิคมชาวยุโรปได้ขยายตัวในทศวรรษแรก ๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยมีการตั้งสถานีการค้าจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกาะเหนือ ใน ค.ศ. 1839 บริษัทนิวซีแลนด์ประกาศแผนซื้อที่ดินขนาดใหญ่และสถาปนาอาณานิคมในนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1840 กัปตันวิลเลียม ฮอบสันและหัวหน้าชนเผ่ามาวรีอีกราว 40 คนลงนามสนธิสัญญาไวทังกิ[87] คนส่วนใหญ่ถือว่าสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นเอกสารก่อตั้งนิวซีแลนด์[88] แต่การตีความที่แตกต่างกันของข้อความฉบับภาษามาวรีและภาษาอังกฤษ[89] หมายความว่ามันจะยังเป็นบ่อเกิดของความขัดแย้งต่อไป[90]

สงครามกับฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน

ดูบทความหลักที่: สงครามนโปเลียน

บริเตนถูกท้าทายอีกหนหนึ่งโดยฝรั่งเศสสมัยนโปเลียน ในการต่อสู้ที่ไม่เหมือนกับสงครามครั้งที่ผ่านมา โดยมีลักษณะการประชันอุดมการณ์ระหว่างสองชาติ[91] ไม่เพียงฐานะของบริเตนในเวทีโลกเท่านั้นที่ถูกคุกคาม นโปเลียนยังคุกคามจะบุกครองเกาะบริเตนเลยทีเดียว เมื่อกองทัพของเขายึดครองหลายประเทศในยุโรปภาคพื้นทวีปเวลานั้น

ฉะนั้นสงครามนโปเลียนจึงเป็นสงครามที่บริเตนลงทุนและทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อเอาชนะ เมืองท่าของฝรั่งเศสถูกราชนาวีปิดล้อม ซึ่งชนะกองทัพเรือฝรั่งเศส-สเปนที่ทรากัลฟาร์อย่างเด็ดขาดใน ค.ศ. 1805 อาณานิคมโพ้นทะเลถูกโจมตีและถูกยึดครอง รวมถึงอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งนโปเลียนผนวกใน ค.ศ. 1810 สุดท้ายฝรั่งเศสปราชัยต่อกองทัพผสมยุโรปใน ค.ศ. 1815[92] บริเตนได้รับผลประโยชน์จากสนธิสัญญาสันติภาพหลายฉบับอีกครั้ง คือ ฝรั่งเศสยกหมู่เกาะไอโอเนียน มอลตา (ซึ่งถูกยึดครองใน ค.ศ. 1797 และ 1798 ตามลำดับ) เซเชลส์ มอริเชียส เซนต์ลูเชีย และโตบาโก สเปนยกตรินิแดด เนเธอร์แลนด์เกียนาและอาณานิคมเคป บริเตนคืนกัวเดอลุป มาร์ตีนิก โกรี เฟรนช์เกียนา และเรอูว์นียงให้ฝรั่งเศส รวมทั้งคืนเกาะชวาและซูรินามให้แก่เนเธอร์แลนด์ ขณะที่ได้ควบคุมซีลอน (ค.ศ. 1795–1815)[93]

การเลิกทาส

ด้วยการสนับสนุนจากขบวนการผู้รณรงค์ให้เลิกทาสชาวบริติช รัฐสภาตราพระราชบัญญัติการค้าทาสใน ค.ศ. 1807 ซึ่งเลิกการค้าทาสในจักรวรรดิ ใน ค.ศ. 1808 เซียร์ราลีโอนได้รับประกาศให้เป็นอาณานิคมบริติชอย่างเป็นทางการสำหรับทาสผู้เป็นไท[94] พระราชบัญญัติเลิกทาสผ่านใน ค.ศ. 1833 เลิกทาสในจักรวรรดิบริติชในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1834 (โดยยกเว้นเซนต์เฮเลนา ซีลอนและดินแดนที่บริษัทอินเดียตะวันออกบริหาร แม้ข้อยกเว้นเหล่านี้ถูกยกเลิกภายหลังเช่นกัน) ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว ทาสได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระสมบูรณ์หลัง "การเป็นลูกมือฝึกหัด" ระยะ 4 ถึง 6 ปี[95]

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล: เฟสสอง จักรวรรดิรัสเซีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรวรรดิบริติช http://www.ualberta.ca/~janes/EMPIRE.html http://www.amazon.com/Ending-East-Suez-Historical-... http://www.engelsklenker.com/british_empire_histor... http://www.mfa.gov.eg/MFA_Portal/en-GB/Foreign_Pol... http://www.nzhistory.net.nz/politics/treaty/waitan... http://www.cambridge.org/gb/knowledge/isbn/item648... //doi.org/10.1017%2FS0018246X00026698 //doi.org/10.2307%2F2051326 //www.jstor.org/stable/2637986 http://thecommonwealth.org/about-us